India In dream 9:ดูแรดที่อัสสัม สะพานรากไม้,เรือลอยได้ที่เมฆาลัย

[coming soon]

 Assam และ Meghalaya เป็นรัฐในกลุ่มseven sister states ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย อันประกอบไปด้วย  Arunachal Pradesh, Assam, Meghalaya, Manipur, Mizoram, Nagaland and Tripura ทริปวันหยุดยาวปีใหม่๕วัน เราเลือกไปเยือนอัสสัมและเมฆาลัย ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ซึ่งรู้จักครั้งแรกจากข่าวในพระราชสำนักที่สมเด็จพระเทพมาเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อปลายพ.ย.๒๕๕๙ ทำให้ได้เห็นสะพานรากไม้มีชีวิต และการล่องเรือที่น้ำใสมาจนเหมือนเรือลอยได้ที่แม่น้ำอุมโงท ชายแดนประเทศบังคลาเทศ ติดรัฐเมฆาลัย
โปรแกรมการเดินทาง
๒๘ธค๖๑ บินไปลงGuwahati รัฐอัสสัม
๒๙ธค๖๑ ดูแรด เดินทางต่อไปMawlynnong village รัฐเมฆาลัย
๓๐ธค๖๑ ล่องเรือUmngot river ที่ Dawki
๓๐ธค๖๑ ชมliving root bridge ที่ Cherrapunjee
๑มค๖๒ เดินทางกลับจากเมือง Shillong
ขอขอบคุณTrekking Cat Naresสำหรับรูปประกอบรีวิวบางส่วน

[coming soon]

1 เดินทางโดยสารการบินIndigoไปลงที่Kolkata เพื่อต่อเครื่องไปGuwahati รัฐอัสสัม แต่เครื่องJet Airwayที่ต่อภายใน retimeไป๖ครั้ง จากเวลาต่อเครื่อง๓ชม. กลายเป็น๘ชม.กว่า เลยหาเรื่องออกไปเที่ยวในเมืองโกลกาตา โดยฝากกระเป๋าที่บู้ทAAI Assistanceที่Gate 3C โดยต้องโชว์พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องที่มาลง และเครื่องที่จะต่อ ราคากระเป๋าละ๒๐รูปี ออกจากสนามบินที่Gate3A3B ตรงประตูด้านนอกจะมีลิฟท์และบันไดลงไปห้องฝากกระเป๋าที่ชั้นBasement สแกนกระเป๋าเสร็จก็เอาเข้าไปวางในชั้นวาง แล้วมาขึ้นTaxi prepaidที่จองไว้
2 เช้าตรู่อย่างนี้เราเลือกที่จะมาตลาดดอกไม้ mallick ghat flower market ที่ท่าเชิงสะพานHowrah ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟ สะพานนี้มีผู้คนข้ามไปมามากมายทั้งวัน รวมถึงกุลีที่เข็นรถลาก หรือทูนสัมภาระบนหัว
3 สีสันสดใสของดอกไม้ยามเช้าตรู่

[coming soon]

4 ร้านรวงมากมาย ดอกไม้สารพัดชนิด
5 มีทั้งดอกไม้สด หรือที่เอามาร้อย เข้าช่อหรือจัดแต่งให้พร้อมสำหรับบูชาเทพเจ้า
6 พ่อค้าใช้ตาชั่งในการชั่งดอกไม้ ใช้ตุ้มถ่วงฟากนึงเพื่อคำนวณน้ำหนัก

[coming soon]

7 แวะจิบchai ชานมของโปรด ที่นี่จะใส่แก้วดินเผาที่กินเสร็จก็โยนทิ้งให้แตก  แก้วละแค่๘รูปี (๑บาท=๒รูปี)
8 ผลไม้ ใบไม้ ก็มีมาขาย
9 เรียกTaxiไปต่อที่Birla Temple วัดฮินดูชื่อดังของโกลกาตา สร้างจากหินอ่อนสีขาว ตั้งอยู่บนถนน Asutosh Chowdhury Avenue วัดแห่งนี้สร้างโดยตระกูล Birla family นักธุรกิจที่ร่ำรวย เริ่มต้นสร้างในปี 1970 ใช้เวลา 26 ปีจึงแล้วเสร็จ สร้างขึ้นเพื่อสักการะองค์พระ Krishna และ Radha

[coming soon]

10 ต่อไปPareshnath Templeวัดเชนชื่อดังย่านชานเมือง
11 จัดแต่งภายในบริเวณวัดได้สวยงามมาก
12 ภายนอกวิหารว่าสวยแล้ว ภายในยิ่งสวยกว่า ตกแต่งด้วยกระจกสีงดงาม

[coming soon]

13 บ่อน้ำภายในบริเวณวัด
14 มีหลายอาราม เราก็เดินไปทั่ว ดูเขาทำพิธีกัน
15 เดินทางกลับสนามบิน ผ่านbig ben tower kolkata

[coming soon]

16 depatureของdomestic มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ทั้งอาหารทั่วไปและอาหารอินเดีย (แต่ตอนกลับdepatureของinterมีร้านอาหารอินเดียเล็กๆแค่๓ร้านเอง)
17 ประมาณชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงGuwahatiแล้ว แรดและสัญลักษณ์แห่งรัฐอัสสัมอื่นๆมาต้อนรับ ถ้าจะเข้าเมืองมีบัสให้บริการไปสุดสายที่Paltan Bazarหน้าสถานีรถไฟใจกลางเมือง คนละ๙๐รูปี หรือTaxi prepaid ก็๕๕๐รูปี
18 เราเลือกไปลงที่Kamakhya Temple วัดฮินดูบนเนินเขาที่เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของคนอัสสัม วัดที่สร้างอุทิศให้the mother goddess Kamakhya

[coming soon]

19 มีโรงทานให้เข้าไปทานอาหารฟรีจนถึงบ่ายสาม มีคนเข้าไปทานมากมาย แม้แต่คนต่างศาสนาอย่างพวกเราก็เป็นที่ต้อนรับ เข้าไปทานได้เหมือนกัน
20 วัดจะปิดช่วงกลางวัน เปิดอีกที่ตอนบ่ายสองครึ่ง พอได้เวลา เราก็เข้าไปภายใน
21 คามากยาวัดฮินดูบนยอดเขาNilachala Hill.ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 มีหลังคาโดมสวยงามโดดเด่น

[coming soon]

22 มีชาวฮินดูต่อคิวเข้าไปร่วมพิธีในวิหารยาวเหยียด
23 ออกจากวัดเราก็รีบไปโรงแรมที่อยู่ในPaltan Bazar เก็บกระเป๋าเสร็จก็รีบเรียกออโต้(ตุ๊กๆ)ไปKa Hari Ghat ท่าเรือที่จะข้ามไปPeacock Island เกาะเล็กที่สุดในอินเดียกลางแม่น้ำพรหมบุตร ที่มีUmananda Templeอยู่บนเกาะ แต่ไม่ทัน เฟอร์รี่ปิดไปแล้ว เที่ยวสุดท้ายออกไปตอนบ่ายสี่(ที่นี่หน้าหนาวมืดเร็วมาก ห้าโมงก็ไม่มีแสงแล้ว)
24 เลยเดินเล่นในตลาดที่ท่าเรือแทนเข้าวัดแก้เซ็ง

[coming soon]

25 ตอนจะกลับเห็นเฟอร์รี่เที่ยวสุดท้ายที่พาคนกลับมาจากวัดบนเกาะ
26 ตัดสินใจเดินกลับโรงแรมเพื่อจะได้ชมเมืองไปด้วย ผ่านWar Memorial และทะเลสาบในparkกลางเมือง
27 แวะกินมื้อเย็นที่สถานีรถไฟกูวาฮาตี และติดต่อรถที่จะไปดูแรดที่Pobitora เช้าวันพรุ่งนี้ด้วย Taxi standประจำเมือง อยู่ถนนหน้าสถานีรถไฟ

[coming soon]

28 ก่อนเข้านอนก็เดินเล่นดูnight street foodใน Paltan Bazar
29 เช้าวันรุ่งขึ้น นัดรถมารับตอนตีห้า เนื่องจากอุทยานเปิดตอนหกโมงครึ่ง ระยะเดินทางไปอุทยานประมาณชั่วโมงครึ่ง(แค่๕๐กิโล แต่ถนนแย่มาก) หมอกลงจัดมาก มองแทบไม่เห็น นั่งลุ้นไปตลอดทาง  ถึงแล้วรีบไปซื้อตั๋วขี่ช้างดูแรด
30 ดูแรดที่นี่มีสองแบบ คือขี่ช้างซึ่งจะมีแค่วันละสองรอบ คือ๖.๓๐น. และ ๗.๓๐น. ส่วนรถจี๊ปจะมีถึงช่วงบ่าย ราคาสำหรับชาวต่างชาติก็คนละ๑๕๐๐รูปี เป็นค่าเข้าอุทยานคนละ๕๐๐รูปี ค่าขี่ช้างคนละ๑๐๐๐รูปี มีค่ากล้องอีก๒๐รูปี (ถ้าพลาดช้าง ก็สามารถนั่งรถจี๊ปชมแรดได้ คันนึงนั่งได้มากสุด๖คน วิ่งพาชมประมาณ๑ชั่วโมง เริ่ม๗.๐๐-๑๕.๓๐น. หยุดเที่ยงถึงบ่าย ราคาคันละ๒๐๐๐รูปี)
 อุทยานจะปิดช่วงฤดูร้อนเนื่องจากเป็นช่วงผสมพันธุ์และฤดูมรสุมเนื่องจากทางจะเฉอะแฉะ ประมาณเดือนพ.ค.-ก.ย. ประกาศปิด-เปิดอุทยานของแต่ละปีจะแล้วแต่สภาพอากาศ ถ้าจะไปช่วงนี้ก็ลองเช็คดูหน่อยว่าอุทยานเปิดหรือยัง จะได้ไม่ไปเก้อ

[coming soon]

31 ซื้อตั๋วได้แล้ว จนท.ก็จะมาไขกุญแจให้เข้าไปรออีกฝั่งของสะพาน พอข้ามไปแล้ว เขาก็ล็อคกุญแจ
32 นกน้อยท่ามกลางสายหมอก
33 เราได้รอบ๗.๓๐ พอรอบแรกกลับมา พวกเราก็ได้ออกไป มีเจ้าหน้าที่ถือปืนขี่ช้างคุมหลังมาด้วย

[coming soon]

34 ลัดเลาะไปตามป่า ช้างบรรทุกผู้โดยสาร๒-๓คนต่อเชือก
35 พอพ้นป่า เข้าเขตชายทุ่งก็เริ่มเจอแรด
36 แรดอินเดีย จัดเป็นแรด 1 ใน 3 สายพันธุ์ที่พบได้ในทวีปเอเชีย และเป็นสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดที่พบในทวีปแห่งนี้

[coming soon]

37 มีนกเกาะบนหลังด้วย
38 แรดตัวผู้หนัก๒๑๐๐กิโลกรัม ตัวเมียหนัก๑๖๐๐กิโลกรัม ตั้งครรภ์๑๖เดือน
39 ได้เห็นแรดประมาณ๗-๘ตัวท่ามกลางสายหมอก ถ้าทัศนวิสัยดีกว่านี้ จะเห็นแรดหลายตัวพร้อมกันวิ่งอยู่ในทุ่งกว้างแห่งนี้

[coming soon]

40 นอกจากแรดก็ยังเจอวัว ควาย หมูป่า และนกต่างๆอีกมากมาย
41 ใช้เวลาขี่ช้างอยู่หนึ่งชั่วโมงก็กลับไปส่งที่เดิม น้องช้างมีทั้งหมดสิบตัว แต่ให้บริการได้แค่๘ตัว เนื่องจากเป็นลูกช้างตัวนึงที่คอยเดินตามแม่ และอีกตัวก็เป็นจนท.ถือปืนคุมหลังไป รอบนึงก็ได้แค่๒๐กว่าคนเท่านั้น ถ้าอยากขี่ช้างก็ต้องตื่นเช้ากันหน่อย หมดรอบนี้ น้องๆคงได้ไปพักผ่อนกันแล้ว
42 ถ้าพลาดจากช้างก็ยังมีรถจี๊ปคอยให้บริการ พี่คนที่ถือปืนบนหลังช้าง ก็มาถือปืนนั่งหน้าคู่คนขับคอยคุ้มกันผู้โดยสารบนรถจี๊ปแทน